วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกร็ดความเชื่อ1

ทำนายเนื้อคู่
1. วันเกิด วันอาทิตย์ = 1 จันทร์ = 2  อังคาร = 3  พุธ 4   นับเรื่อย ๆ ถึง เสาร์ = 7
2.  เดือนเกิด ธันวาคม = 1  มกราคม = 2  และ พฤศจิกายน = 12
3. ปีเกิด  ปี ฉวด = 1  ปีฉลู = 2  และ ปีกุน = 12
               นำ วัน คูณ เดือน บวก ปี แล้ว หารด้วย 7  เหลือเศษ เท่าไหร่ นำไปหาคำทาย
คำทาย

เศษ 1 เนื้อคู่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผิวดำแดง รูปร่างสันทัด เป็นคนกำพร้า (ไม่ใช่กำมีด) เป็นคนเจ้าระเบียบ
เศษ 2 เนื้อคู่อยู่ทางทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก ผิวขาว พูดจาน่ารัก นิสัยดี นุ่มนวล มีความซื่อสัตย์ คนรักและเกรงขาม
เศษ 3 เนื้อคู่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ รูปร่างสูง ใหญ่ มีไฝดำที่คิ้วหรือมีแผลเป็นที่นมข้างขวา มีการศึกษาสูง และอาจเป็นหม้าย
เศษ 4 เนื้อคู่อยู่ทางทิศเหนือ หรือทิศใต้ ผิวขาว เหลือง รูปร่างใหญ่ โมโหร้าย พูดขวานผ่าซาก แบบนักเลง แต่เป็นคนดี มีทรัพย์สิน
เศษ 5 เนื้อคู่อยู่ทางทิศใต้ หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผิวเนื้อดำแดง เป็นสาว Hi 5 หรือชาย ไฮโช เป็นคนมีอายุ หน้าตาดูดี แต่ขี้เกียจ มีการศึกษาดี ตอนแรก ๆ อยู่ด้วยกันไม่ค่อยดี นานๆจึงจะดี
                                                          (ตอนหน้า ทำนาย โชค(ลาบ) ลาภ ) ขอบอก

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โทษประหาร

ฆ่าเจ็ดชั่วโคตร
การปกครองบ้านเมืองของไทยสมัยโบราณ นับเวลาที่สามารถสืบค้นได้ได้มีกฎหมายที่ใช้กันในสมัยนั้นเริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 นับเป็นบทลงโทษที่น่ากลัว และหวาดเสียว สยดสยองมาก โดยทำเอานักโทษ กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยที่เดียว กฎการประหารฆ่า เจ็ดชั่วโคตร นั้น สืบเนื่องจากการบัญญัติไว้ในกฎมณเทียรบาล และกฎหมายที่เกี่ยวกับลักษณะกบฏศึก เป็นการนำมาใช้กับ คนหรือพวกที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อบ้านเมือง บุคคลประเภทนี้ถือว่าเป็นกบฎต้องถูกประหารชีวิต การลงโทษนั้นไม่ลงโทษเพียงผู้ทำผิดเท่านั้นแต่ ต้องรับโทษร่วมกัน ถึง ลูกเมีย หลาน ปู่ ย่า ตายาย ที่เรียกกัน ว่าฆ่ากันทั้งโคตร หรือฆ่า เจ็ดชั่วโคตร การนับชั่วโคตรนั้น ก็นับจาก ทั้งตระกูลทั้ง ฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง โดยฆ่าต้องให้ครบทุกเครือญาติ

ครบเครือญาติ หมายถึง 1. นักโทษ และเมีย 2. ลูก 3. หลาน 4. เหลน 5. พ่อแม่ 6. ปู่ ย่า ตา ยาย 7. ทวด
กฏมณเทียรบาลที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษ สมัยโบราณ พอที่จะค้นพบได้ มีดังนี้

1. ถ้าพระมหากษัตริย์ เสด็จประพาสทางเรือ ห้ามทำเรือล่ม เรือเอียง อย่าทำให้ตกเรือ ถ้าตกเรือให้ให้ช่วยที่รอดพ้นจากอันตราย หรือใช้ไม้หรืออุปกรณ์ อื่น ๆ ช่วยให้พ้นอันตราย หรือไม่ก็โยนลูกมะพร้าวให้เกาะ ถ้าช่วยให้รอดจากอันตรายได้ให้พ้นโทษ หรือถ้าผู้ที่โยนลูกมะพร้าวให้เกาะจนรอดพ้นการจมน้ำนั้น ให้ตกรางวัล เป็นเงิน สิบตำลึง พร้อมขันทองคำ หนึ่งใบ

2. ถ้าเสด็จทรงม้าหรือทรงช้าง การทรงช้างให้พลช้างทำขื่อคาใส่คอช้าง ทำเฉลียงที่ประทับบนหลังช้างให้มั่นคง ถ้าช้างพยศให้บังคับให้เชื่องพยามระวังอย่าให้เกิดอันตราย ถ้าพระที่นั่งเสียหาร หรือพระราชาเป็นอันตรายพลช้างต้องรับโทษให้ฆ่าเสียทั้งโคตร

3. ถ้ารับนางสนมเข้ามาในวัง ตำรวจผู้มีหน้าที่ขานขันหมาก ต้องร้องแห่ขั้นหมาก ถ้าไม่ร้องแห่ขันหมากตามหน้าที่ต้องรับโทษ แหวะปาก หรือมีพระราชพิธีต้อนรับแขกต่างเมือง ขณะแขกเมืองเข้ามาถวายบังคม ต้องร้องรับพิธี หากบกพร่องต่อหน้าที่ ให้ฆ่าเสียทั้งโคตร
ทั้งหมดนี้นำมากล่าวเฉพาะบางส่วนที่น่าสนใจ เป็นบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อเป็นคติเตือนใจ อนุชนคนรุ่นปัจจุบัน ให้สำนึกตนว่าปฏิบัติตัวกันอย่างไร ถ้าเกิดในยุคนั้น ต้องรับโทษ กฎมณเทียรบาล กันอ่วมอรทัย
ยุคนั้นนอกจากมีกฎมณเทียรบาลแล้ว ยังมีกฎหมายที่บัญญัติไว้อีก เรียกว่า ลักษณะกบฎศึก เป็นบทลงโทษผู้ที่ทำตัวไม่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการกระทำผิดกฎมณเทียรบาล นั้น ขอยกตัวอย่างที่สำคัญ 4 กรณี ดังนี้

กฎหมายข้อที่ 1
กรณีที่ 1 ผู้ใดมีจิตใจมักใหญ่ ใฝ่สูง เกินตัว ทำการคบคิด ทำการกบฎ ประทุษร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ ทำร้ายพระองค์ด้วยยาพา ทำร้ายด้วยอาวุธ จนสิ้นพระชนม์

กรณีที่ 2 พระเจ้าอยู่หัวโปรดปราณผู้ใด จนแต่งตั้งในไปปกครองเมืองหน้าด่าน หรือประเทศราช แล้วไม่ใส่ใจนำเครื่องราชบรรณาการ เป็นข้าวของ ทอง อาหาร เสบียง มาถวายเป็นประจำ ทุกปี ถือว่าเอาใจออกห่าง ถือเป็นกบฎเมือง

กรณีที่ 3 ผู้ใดมีจิตใจ ฝักใฝ่ เอาใจสัตรู ข้าศึก ร่วมสมคบกับข้าศึก นำทัพมาเบียดเบียน นคร

กรณีที่ 4 ผู้ใดนำความลับของบ้านเมือง ไปบอกข้าศึก ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง
กรณีความผิด ทั้ง 4 กรณีข้างต้นนี้ถือว่า เป็นความผิดที่รุนแรง ขั้นอกฤษฐ์ หนักที่ร้ายแรงให้อภัยไม่ได้ โทษสถานเดียวคือ ประหารชีวิต ก่อนตาย ต้องรับโทษ โดยแยกเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 ให้ริบทรัพย์สิน ข้า ทาส บริวาร ไร่ นา ให้สิ้น แล้วจับไปฆ่าเสียทั้งโคตร
ส่วนที่ 2 ให้ริบทรัพย์สิน ข้า ทาส บริวาร ไร่ นา ให้สิ้น แล้วจับไปฆ่าเสียทั้ง เจ็ดโคตร ชั่วโคตร

การประหารชีวิตนั้นต้องทรมานให้ครบ 7 วัน ถึงปล่อยให้ตาย โดยถ้าไม่ครบ 7 วัน ห้ามทำให้ตาย ขณะทำการทรมาน ให้ตายนั้นอย่าให้เลือด หรือเศษอวัยวะส่วนใดตกลงพื้นดิน ทำให้เป็นเสนียด แก่แผ่นดิน หลังจากทรมานจนตายแล้วให้ ใช้ผ้าห่อน้ำเลือด น้ำหนอง และอวัยวะต่าง ๆที่เป็นซากศพ ใส่แพ ปล่อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำ

กฎหมายข้อที่ 2
พระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงดู โปรดปราณ แล้วประทาน ยศ ศักดิ์ ให้ตำแหน่ง แต่ภายหลังมีจิตใจ คิดการใหญ่ ใฝ่สูง เกินศักดิ์ ยกทัพเข้ายึดเมือง กระทำการประทุษร้าย พระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ ต้องมีโทษหนัก ให้ฆ่าทั้งโคตร

กฎหมายข้อที่ 3
บุคคลใดพระเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งให้มี ยศ ตำแหน่ง เป็นนายหมู่ นายกอง นายหมวด เป็นข้าราชการ รับใช้บ้านเมือง ถึงเวลามีภัย ข้าศึกมาประชิดเมือง บ้านเมือง ระส่ำระสาย แต่ไม่ยอมช่วยราชการ บ้านเมือง กลับพาครอบครัว ญาติมิตรไปยอมเข้ากับข้าศึก หรือ แอบหลบ ซ่อนตัวอยู่ในป่า ในถ้ำ เวลาภัยมา หนีเอาตัวรอด นั้นท่านว่า เป็นกบฎ กฎหมายว่าให้ฆ่าเสีย ทั้งโคตร เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

มาตราหนึ่ง  พระเจ้าอยู่หัวเลี้ยงดูโปรดปรานและประทานยศศักดิ์มีตำแหน่งแต่มีจิตใจคิดการใหญ่ ใฝ่เกินศักดิ์ยกทัพมายึดเมืองกระทำการประทุศร้ายพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์มีโทษหนักให้ฆ่าเสียทั้งโคตร

มาตราหนึ่ง บุคคลใดพระเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งให้มียศมีตำแหน่งเป็น นายหมู่ นายหมวด นาย กอง เป็นทหารถ้าเกิดมีภัยสงครามเข้ามาประชิดเมืองแล้วไม่ยอมช่วยราชการบ้านเมืองพาครอบครัวญาติมิตรไปสวามิภักดิ์ต่อข้าศึกก็ดี หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าในถ้ำหนี้ภัยเอาตัวรอดนั้นท่านว่าเป็นกษฏ กฎหมายว่าให้ฆ่าเสียทั้งโคตรเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ส่วนวิธีการฆ่าหรือประหารนั้นจะเป็นการทรมาณให้ตายช้าๆไม่นิยมให้ตายทันทีตามกฎหมายลักษณะกษฎศึกได้กำหนดรูปแบบการฆ่าไว้พอที่จะสืบค้นได้ 21 วิธี

วิธีที่ 1 เป็นการตอกกะโหลกศีรษะให้เปิดออก แล้วนำก้อนเหล็กที่เผาไฟแดง ๆ และ ร้อนแรง ใส่ลงไปในมันสมองจนทำให้มันสมองเดือดพล่านพุ่งออกมานอกกะโหลก

วิธีที่ 2 เป็นการตัดแต่งใบหน้าถลอกลอกหนังหน้าทั้ง 2 ข้างแล้วดึงลอกออกมา ดึงหนังมารวมกันที่ท้ายทอย แล้วม้วนเข้าหากันทำให้สอดแทงเข้าไปกลางหนังที่ลอกมาแล้วดึงออกมาให้หลุดจากหัวกระโหลกทั้งหนังหน้าและหนังหัวจากนั้นนำกรวดและทรายมาขัดหัวนั้นจนให้หัวกระโหลกนั้นขาวโพรน

วิธีที่ 3 นำตะขอมาเกี่ยวปาก ให้อ้าไว้แล้วนำก้อนถ่านไฟยัดเข้าไปในปากและนำสิ่วอันแหลมคมแสะแหวะฝ่าตั้งแต่ปากจรดใบหู ทั้ง สองข้างแล้วเอาตะขอเกี่ยวไว้ให้เลือดไหลออกจากปาก

วิธีที่ 4 นำผ้าดิบมาชุ่มน้ำมันจนชุ่ม นำมาผันให้ทั่วร่างกายและจุดไฟเผา

วิธีที่ 5 นำผ้าดิบมาชุ่มน้ำมันจนชุ่ม นำมาผันนิ้วมือทั้งสิบนิ้วและจุดไฟเผา

วิธีที่ 6 เชือดเนื้อให้เป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกันตั้งแต่ใต้คางตรงคอลงมาถึงเอวจรดข้อเท้าแล้วเอาเชือกมัดให้เดินเหยียบริ้วเนื้อหนังของตน ผลักฉุดคร่าให้เดินไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 7 เชือดเนื้อหนังให้เป็นริ้วตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวแล้วให้เชือดตั้งแต่เอวลงไปถึงข้อเท้าแล้วทำให้หนัง ข้างบนปกคลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

วิธีที่ 8 นำห่วงเหล็กสอดเข้าข้อศอก และขาทั้ง 2 ข้างช่วงหัวเข่าแล้วนำหลักสอดเข้าไปในห่วงข้อศอกและหัวช่วงเข่าตอกหลักนั้นตรึงให้แน่นทั้ง 2 ข้างให้ติดกับแผ่นดินไว้อย่างนั้นอย่าให้เคลื่อนไหวได้แล้วนำไฟที่ลุกโชนมาลนรอบๆตัวทรมานจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 9 นำเบ็ดขนาดใหญ่ที่มีเงื้ยงคมทั้ง 2 ข้างมาเกี่ยวดึงหนังและเส้นเอ็นอย่างรุนแรงไปทั่วร่างจนเนื้อหนังหลุดกระจุย กระจายทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 10 นำมีดอันแหลมคมมา เฉือน เนื้อ หนัง เอ็น ออกจากร่างกายนำตาชั่งมาชี้วัดครั้งล่ะ 1 ตำลึง จนเนื้อ หนัง เอ็น หมดจากร่างกาย จนเหลือแต่โครงกระดูก

วิธีที่ 11 นำร่างกายมาสับหรือทุบให้เละแหลกเหลวจนละเอียด แล้วนำแปรงที่ชุ่มน้ำที่แสบๆมาหวีมาแปรง ขูดหนัง เนื้อ เอ็น ที่ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ขูดลอกออกทั่วร่างกายจนเหลือแต่ซากกระดูก

วิธีที่ 12 บังคับให้นอนตะแคงราบติดกับพื้นแล้วนำเหล็กแหลมตอกช่องรูหูจากด้านบนให้ทะลุช่องหูอีกข้างจนติดสนิทแน่นกับพื้นดินแล้วจับขาทั้ง 2 ข้างหมุนเวียนไปรอบๆไปเรื่อยๆหมุนไปอย่างนั้นจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 13 ทำโทษโดยที่ห้ามทำให้ผิวหนังขาดแล้วนำลูกกรวด ลูกหิน บดเนื้อเอ็นกระดูกให้แหลกละเอียด แล้วรวบผมหัวรวมกันยัดเข้าไปทำให้เป็นกองกับเนื้อ เอ็น กระดูก รวบห่อด้วยหนังทำเป็นทอดวางไว้เหมือนพรมเช็ดเท้าและเอาไว้เช็ดเท้า

วิธีที่ 14 จับร่างมัดกับเสาหลักให้แน่นเคี่ยวน้ำมันให้เดือดพล่านใช้ภาชนะตักมาเทหรือราดตั้งแต่ศีรษะลงไปทั่วร่างกายจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 15 นำสุนัขที่ร้ายกาจไปขังไว้ในกรงไม่ให้กินอาหารจนสุนัขหิวจัดแล้วปล่อยออกจากกรงเพื่อให้มากัดกินเนื้อหนังอวัยวะทั่วร่างกายจนเหลือแต่กระดูกเปล่าๆ

วิธีที่ 16 จับนอนหงายลงกับพื้นมัดตรึงแขนทั้ง 2 ข้างให้แน่นแล้วใช้ควานขนาดใหญ่ผ่าออกทั้งเป็นแหกอกออกดั่งโครงเนื้อ

วิธีที่ 17 นำหอกแหลมคมมาแทงให้ทั่วร่างกายทีล่ะน้อยๆค่อยๆทแงจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 18 ขุดหลุมฝังทั้งเป็นๆให้เหลือเพียงเอวแล้วนำฟางมาคลุมให้ทั่วร่างกายตั้งแต่เอวจรดศรีษะเสร็จแล้วจุดไฟเผาจนไหม้เกรียม แล้วนำไถเหล็กมาไถจนเป็นท่อนๆเล็กน้อยใหญ่และซากศพแหลกเป็นชิ้นๆ

วิธีที่ 19 ใช้มีดเชือดเนื้อออกมาทอดด้วยน้ำมันเหมือนทอดขนม แล้วบังคับให้กินเนื้อตนเองจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 20 จับมัดกับเสาแล้วนำไม้กระบองทั้งสั้นแล้วยาวมาระดมตีให้ทรมาจนกว่าจะตาย

วิธีที่ 21 จับมัดกับเสาแล้วนำหวายที่มีหนามแหลมคม มากระหน่ำตีจนกว่าจะตาย
                                                          
                                                              จบแล้วจ๊ะ แล้วพบกันใหม่

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตำนานครุฑ (ตอนที่2)

ตำนานเมืองสยามโบราณ สมัยรุ่นปู่ย่าตายายก็เล่าเรื่องพญาครุฑให้ลูกหลานได้ฟังเสมอๆ เกี่ยวกับพญาครุฑเป็นเทพแห่งนกเป็นเจ้าแห่งเวหาที่มีที่อยู่บนเขาไกรลาศ เวลาเดินทางเหินอากาศจะบินอยู่เหนือก้อนเมฆ พญาครุฑเป็นเจ้าแห่งเวหาที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ โดยปกติแล้ววิมารของพญาครุฑอยู่วิมารฉิมพลี พญาครุฑได้พรอันเป็นอมตะจากพระนารายณ์ ร่างกายเป็นกายสิทธิ์ ไม่มีอาวุธชนิดใดสามารถทำร้ายได้ แม้แต่สายฟ้าของพระอินทร์ก็ทำร้ายไม่สำเร็จ เพียงแต่ทำให้ขนของพญาครุฑร่วงลงมาเพียงเส้นเดียวเท่านั้น การร่วงล้นของขนนั้นก็เป็นความต้องการของพญาครุฑให้หลุดล่วงเท่านั้น เพียงแต่ให้ขนเป็นของถวายแก่พระอินทร์เท่านั้น และขนของพญาครุฑนั้น เรียกว่า “สุบรรณ” ซึ่งแปลว่าขนวิเศษ
พญาครุฑหรือรูปพญาครุฑนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อกันว่า ทำให้ชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิต ตำนานพญาครุฑ ในตำนานที่เกี่ยวกับป่าหิมพานต์นั้นมีเรืองราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิด เช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี กินนรและสัตว์แปลกๆ อีกหลายประเภท ในบรรดาสัตว์ที่กล่าวมาแล้วนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ หนึ่งเป็นพญานาคราช ที่เป็นเจ้าแห่งเมืองบาดาล และอีกหนึ่งเทพคือ พญาครุฑเจ้าแห่งเวหา
นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาองค์เดียวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดร แต่คนละแม่กันโดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวงชื่อนางวินตา ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรองชื่อ กันทรุนางวินตาเป็นที่รักใคร่โปรดปรานจากพระกัศยปะมาก พระอง๕ได้ให้พรแก่นางว่า ให้มีโอรสได้ สององค์และเกิดมาแล้วให้มีอำนาจเหนือกว่านาคทั้งปวง จากนั้นไม่นานนางทั้งสองก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ ส่วนนางวินตาเฝ้าถนุถนอมไข่ดูแลไข่คอยเวลาที่ลูกจะแตกตัวออกมาจากไข นางเฝ้ารอคอยเป็นเวลา ถึงห้าร้อยปีไข่ใบแรกยังไม่แตกตัวออกมาเลย ยิ่งนานวันนางก็อยากเห็นหน้าลูก อยากรู้ว่าลูกจะมีหน้าตาอย่างไรในที่สุดนางก็ทนความคิดถึงไม่ไหว นางก็นำท่อนไม้มาทุกไข่หวังให้ลูกออกมาง่ายๆ ไข่ใบแรกแตกและนางได้เห็นหน้าลูกสมใจอยาก แต่อนิจจา ลูกของนางคลอดก่อนกำหนด ทำให้ร่างกายของบุตรพิการ บุตรของนางโกรธมากที่เป็นต้นเหตุให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ จึงสาปว่าให้นางเป็นทาสนางกัทรุห้าร้อยปีจะพ้นคำสาปได้จากการช่วยเหลือของลูกชายองค์ที่สองเท่านั้น หลังจากสาปมารดาแล้วก็เหาะขึ้นท้องฟ้ากลายเป็นเทพ ชื่อ อรุณ ทำหน้าที่เป็นสารถีให้แก่พระอาทิตย์ ส่วนลูกชายของนาง
องค์ที่สองก็คือพญาครุฑ หลังจากนางเสียใจในการทำร้ายลูกแล้ว นางบอกกับตัวเองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นางรอการแตกไข่ของลูกใบที่สองด้วยความอดทน เมื่อครบกำหนดลูกของนางก็แตกตัวออกจากไข่ ขณะไข่แตกตัวนั้นเอง เกิดมีแสงสว่าง รุ่งเรืองเต็มท้องฟ้า จนเหล้าเทวดาพากันมากราบไหว้บูชาในบุญญาธิการนั้น

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาวๆ เคยลองนั่งนึกเล่นๆ ดูไหมคะว่า ... หลายๆ ที่สาวๆ ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อน(ต่างเพศ)ใหม่ๆ แวบแรกที่เค้าได้รู้จักกับเรานั้นเรารู้สึกอย่างไร เค้าคิดยังไงกับเราบ้าง ???
จริงๆ แล้วตามหลักจิตวิทยามีอยู่ไม่กี่จุด ที่หนุ่มๆ เค้าจะพิจารณาและรู้สึกกับสาวๆ ในแว๊บแรกที่พบกันค่ะ ...
ครั้งแรกที่เจอกันหนุ่มๆ คิดอะไร
ความมั่นใจ :: หนุ่มส่วนใหญ่มักมองหาความมั่นใจในตัวผู้หญิงเป็นอันดับแรก ซึ่งสังเกตได้จากการทักทาย น้ำเสียง และการสบตา หากสาวๆ สามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่เคอะเขิน นั่นก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับหนุ่มๆ ได้ในครั้ง11แรกที่เจอกันค่ะ
ความเพอร์เฟ็กต์ :: อย่าคิดว่าผู้หญิงที่ดูดีไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่กระทั่งเล็บเท้าที่ถูกดีไซน์มาอย่างกิ๊บเก๋ มีสไตล์ จะสามารถดึงดูดความสนใจของหนุ่มๆ ได้เสมอไปนะคะ เพราะมีหนุ่มๆ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่คิดว่า เธอเหล่านั้นดูเพอร์เฟ็กต์เกินไป ซึ่งอาจหมายความรวมไปถึงเจ้าชู้มากเกินไปนั่นเองค่ะ
ความเซ็กซี่ :: แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าความเซ็กซี่สามารถดึงดูดความสนใจของหนุ่มๆ ได้ แต่สาวๆ ควรจะจำไว้นะคะว่าความเซ็กซี่ก็ไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาหรือเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงกิริยาท่าทาง น้ำเสียง และการใช้สายตาด้วยค่ะ
ถึงแม้ว่าสาวอาจจะไม่ได้สวยเด่นเกินใคร แต่หากฉลาดที่จะแสดงออก อย่างเช่น แทนที่จะทักทายเฉยๆ ก็ลองสบตาสักครู่ พร้อมกับแย้มริมฝีปากนิดๆ ก็ทำให้คุณ กลายเป็นสาวที่น่าค้นหาได้เลยนะคะจะบอกให้
โสดหรือเปล่า :: นี่เป็นคำถามข้อแรกๆ ที่หนุ่มๆ จะตั้งขึ้นหากเกิดความสนใจในตัวสาวๆ พวกเค้าจะแอบสังเกตว่า คนที่ปลื้มอยู่นั้นมีเจ้าของหรือยัง ซึ่งมองได้จากหากมีชายหน้าตาดีเดินผ่านมา หญิงที่มีแฟนอยู่แล้วมักจะทำได้แค่มองเพียงแวบเดียว แต่ถ้ายังโสดอยู่ละก็อาจถึงขั้นหันไปทั้งตัวได้เลยนะคะ
>>> นิสัยชอบชิงดีชิงเด่น :: ถ้าเกิดได้ทำความรู้จักกันซักพักแล้ว มีการนัดกันเพื่อออกเดททำความรู้จักกันให้มากขึ้น และถ้าหากสาวๆ กำลังออกเดทอยู่แล้วเผอิญมีหญิงปริศนาเดินเข้ามาทักคู่เดทของเราเฉยเลย แถมยังทำมึนไม่เห็นเราอยู่ในสายตาอีกด้วย ถ้าหากสาวๆ เกิดโวยวายและมองอย่างเกรี้ยวกราดละก็ หนุ่มๆ เค้าคงคงไม่แฮปปี้แน่ๆ แต่ถ้าสาวๆ สามารถระงับอารมณ์ให้สุขุมและนิ่งเฉย นั่นแหละจะสร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างไม่รู้ลืมเลยละ

ครั้งแรกที่เจอกันหนุ่มๆ คิดอะไร
สายตาจ้องจับผิด :: เมื่อสาวๆ ถูกแนะนำให้รู้จักเพื่อน(ต่างเพศ)ใหม่ อย่า! ใช้สายตาเพื่อสแกนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะคะ เพราะผู้ชายคงจะไม่ชอบแน่ หากโดนจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้ เป็นใครใครก็อึดอัดทั้งนั้นล่ะค่ะ

ครั้งแรกที่เจอกันหนุ่มๆ คิดอะไร ความเฟรนด์ลี่ :: หนุ่มๆ มันจะมองเห็นความน่ารักของสาวๆ ได้จากความเป็นมิตร ความเรียบง่ายๆ สบายๆ และมีอารมณ์ขันในตัวหญิงสาว เพราะนั่จะทำให้เค้าไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่ใกล้ๆ สาวๆ ยังไงล่ะคะ
รูปร่าง :: กว่า 50% ของอาการตกหลุมรักก็มันจะเกิดจากรูปลักษณ์ภายนอกนี่ล่ะค่ะ ดังนั้นเรื่องของรูปร่างจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องใดๆ ถ้าหากสาวๆ มีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองแล้ว บุคลิกที่แสดงออกมาก็จะดูดีไปด้วย แถมยังช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับสาวๆ แบบไม่รู้ตัวอีกด้วยนะคะ
จู้จี้ขี้บ่น :: เป็นคุณสมบัติที่หนุ่มๆ ร้องยี้เมื่อต้องอยู่ใกล้สาวประเภทบ่นได้บ่นดีทั้งวี่ทั้งวัน หนุ่มๆ มักจะสังเกตผู้หญิงว่าจู้จี้ขี้บ่นหรือไม่จากการดูว่าสาวๆ ชอบที่จะพร่ำพูดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในแง่ลบบ่อยเกินไปหรือไม่ เพราะสาวๆ หลายคนชอบบ่นแต่เรื่องซ้ำๆ เดิมๆ
กำลังต้องการใครสักคน :: สาวขี้เหงาหรือสาวที่เพิ่งผ่านอาการอกหักมามักจะมีอารมณ์หวั่นไหวไปกับเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วหากไปเจอหนุ่มในฝันเข้าด้วยล่ะค่ะ หากสาวๆ เผลอใจไปให้เค้ารู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันล่ะค่ะ หนุ่มๆ เค้าอาจจะมองออกก็ได้นะคะว่าสาวคนนี้น่ะ ต้องเพิ่งผ่านการอกหักมาแน่ๆ เลย ...

ครั้งแรกที่เจอกันหนุ่มๆ คิดอะไร
... นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้นนะคะ หนุ่มๆ หลายๆ คนอาจจะคิดแตกต่างไปจากนี้ก็ได้ค่ะ พี่เหมี่ยวก็แค่หยิบข้อสังเกตเหล่านี้มาบอกเล่าให้สาวๆ ได้นำไปเป็นข้อคิดก็แค่นั้นเองล่ะค่ะ ยังไงก็ลองไปคิดตามดูนะคะว่าจริงอย่างที่พี่เหมี่ยวบอกรึเปล่า ...

ผู้ติดตาม

เกี่ยวกับฉัน